วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด


สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (อังกฤษSnow White and the Seven Dwarfs) คือภาพยนตร์อเมริกาออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2480 มีโครงเรื่องจากนวนิยายเรื่อง สโนว์ไวต์ ผลงานการประพันธ์ของพี่น้องตระกูลกริมม์เป็นการผลิตในรูปแบบภาพยนตร์การ์ตูนเต็มรูปแบบครั้งแรกของวอลท์ดิสนีย์ และเป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์อเมริกา
สโนว์ไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ด ณ โรงละคร Carthay Circle ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 ต่อมาได้จัดจำหน่ายโดย RKO Radio Pictures เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 เรื่องราวของเรื่องปรับปรุงมาจากแผ่นป้ายเรียบเรียงฉาก ของ Ann Blank, Richard Creedon, Merrill De Maris, Otto Englander, Earl Hurd, Dick Rickard, Ted Sears และ Webb Smith จากนวนิยายเยอรมันเรื่อง สโนว์ไวต์ ของพี่น้องตระกูลกริมม์ เดวิด แฮนด์เป็นผู้อำนวยการผลิต ส่วน William Cottrell, Wilfred Jackson, Larry Morey, Perce Pearce และ Ben Sharpsteen กำกับลำดับภาพ


เนื้อเรื่องย่อ

กาลครั้งหนึ่งในดินแดนสุดมหัศจรรย์ ยังมีองค์หญิงน้อยแสนงามผู้มีผมดำดุจไม้มะเกลือ ริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบและมีผิวขาวผ่องดังหิมะ เธอคือสโนไวท์ ผู้ที่รู้จักเธอล้วนรักเธอเว้นแต่ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายผู้ริษยาในความงามของเธอสโนไวท์อาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีน้ำตกเจ็ดชั้นและภูเขาอัญมณีเจ็ดลูกที่ภายในมีอัญมณีเลอค่ามากมาย ภูเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สโนไวท์เติบโตมาภายใต้อำนาจของราชินี
ถึงแม้ว่าความปรารถนาที่จะมีรักแสนหวานของเธอจะดูเป็นไปไม่ได้แต่ความรักก็สามารถหาทางของมันได้เสมอแม้ว่าเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่สามารถห้ามให้เจ้าชายหลงรักสโนไวท์ได้
ราชินีเกรงว่าสักวันสโนไวท์จะเติบโตและงดงามกว่าพระนาง ด้วยเหตุนี้พระนางจึงใช้ให้สโนไวท์ทำงานหนักดั่งทาส และเมื่อกระจกวิเศษเผยแก่ราชินีว่าสโนไวท์งดงามกว่าพระนาง ชีวิตของสโนไวท์ก็ตกอยู่ในอันตราย จนกระทั่งเธอได้พบเพื่อนตัวเล็กๆทั้งเจ็ดคนที่ช่วยเหลือเธอไว้
สโนไวท์วิ่งหนีใปในป่ามืด ดูเหมือนว่าต้นไม้เกิดมีชีวิตและพยายามจะฉุดรั้งสโนไวท์เอาไว้ เธอเหนื่อยล่าและหวาดกลัวจนกระทั่งหมดแรงและล้มลงกลางป่า แล้วสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือเสียงเพลงและรอยยิ้ม
ระหว่างที่สโนไวท์กำลังทำกูซเบอร์รี่พายของโปรดของเหล่าคนแคระ แม่ค้าเร่ก็เข้ามาคะยั้นคะยอเธอให้ทำแอปเปิ้ลพายด้วยลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือนาง และเมื่อสโนไวท์อธิษฐานต่อแอปเปิ้ลเธอกัดมันและสลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที!
สโนไวท์ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับเห็นเจ้าชายรูปงามและเหล่าคนแคระรายล้อม เจ้าชายพาเธอขี่ม้าไปที่ปราสาทของเขาและทั้งคู่ก็อย่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล

ลีโล่ แอนด์ สติทช์ - อะโลฮ่า...เพื่อนฮาข้ามจักรวาล


    ชีวิตมีความท้าทายรออยู่สำหรับ ลีโล่ (ให้เสียงพากย์โดย ดาวีห์ เชส) เด็กหญิงเหงาๆ ชาวฮาวาย ที่ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาววัย 19 ชื่อ นานี่ (ให้เสียงพากย์โดย เทีย คาร์เรเร่) สาวน้อยทั้งสองดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูตนเองแต่อะไรๆ ไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนัก เมื่อ คอบร้า บับเบิลส์ (ให้เสียงพากย์โดย วิง เรมส์) นักสังคมสงเคราะห์จอมเครียดแวะมาเยี่ยม เขาก็พบสองสาวพี่น้องกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาจึงเตือนนานี่ว่า เธอมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 วันเท่านั้น ในอันที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เหมาะสมแก่การทำหน้าที่ดูแลลีโล่ได้ หาไม่แล้วสถานการณ์ในบ้านหลังนี้ จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน และแล้วในเย็นวันนั้น ลีโล่ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"
แต่ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ สติทช์ สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ "การทดลอง 626") ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อ จัมบ้า (ให้เสียงพากย์โดย เดวิด อ็อกเดน สเทียร์ส) ผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึงสติทช์ว่า เป็นอะไรที่ "กันกระสุน กันไฟ และคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก มันมองเห็นได้ในความมืด และยกวัตถุอะไรๆ ที่ใหญ่โตกว่าตัวมันถึง 3 พันเท่าได้ สัญชาตญาณอย่างเดียวของมันก็คือ.. ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ในสายตาของสมาชิกสภาหญิง (ให้เสียงพากย์โดย โซ คาลด์เวลล์) แห่งสหพันธ์กาแล็กติค เธอจึงจับจัมบ้าเข้าคุก และพิพากษาให้ส่งตัวสติทช์ ไปยังดาวเคราะห์น้อยไกลลิบ แต่ก่อนที่กัปตันแกนทู จะลงมือกำจัดสติทช์ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูง หนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่า จะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับสติทช์กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ (ให้เสียงพากย์โดย เควิน แม็คดอนัลด์) เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย (โดยความรู้ทั้งมวลที่พลีคลี่ย์มีเกี่ยวกับโลกนั้น ได้มาจากการดูภาพใน View-master® ล้วนๆ )
ฝ่ายสติทช์นั้นบังคับยานมาถึงโลก และเคราะห์ร้ายดิ่งเข้าใส่รถบรรทุกน้ำตาลทรายเต็มเปา เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า ตัวเองอยู่ในบ้านดูแลสัตว์หลังหนึ่ง และฉายแววเสน่ห์น่ารักเข้าตา จนลีโล่เก็บมันไปเลี้ยง (พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า สติทช์) ทักษะสุดล้ำหน้า ทำให้มันสามารถเก็บซ่อนแขนขาพิเศษ (จาก 6 เหลือ 4 ข้าง), เสาอากาศและเดือยบนหลังได้ เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนหมาหน้าตาพิลึกๆ ตัวหนึ่ง แม้พี่สาวของลีโล่ และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรักสติทช์ และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่สติทช์เองก็รู้ว่า ลีโล่กับนานี่มีที่คุ้มภัย ให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยง และทำตัว "ติดหนึบ" กับครอบครัวใหม่ของมันทันที
แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย สติทช์เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อลีโล่พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ สติทช์ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้นลีโล่ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่าง เหมือนฮีโร่ของเธอคือ เอลวิส เพรสลี่ย์ ด้วย เดวิด คาเวน่า (ให้เสียงพากย์โดย เจสัน สก็อตต์ ลี) แฟนเก่า และเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่งสติทช์ก็สามารถเอาชนะ อาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา
คอบร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตา จึงบอกกับนานี่ว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากแยกตัวลีโล่ไปซะ สติทช์จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า มันกำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า ('ohana - ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึงแนวคิดเรื่องครอบครัว ที่จะไม่มีการทอดทิ้ง หรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของลีโล่ก็จางลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อสมาชิกสภาหญิง ไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออก เพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตามสติทช์ ไปถึงบ้านของลีโล่กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัวสติทช์ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง
ในช่วงเวลาที่อะไรๆ เลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทู (ให้เสียงพากย์โดย เควิน ไมเคิล ริชาร์ดสัน)ก็เดินทางมา พร้อมยานลำยักษ์ เพื่อจับตัวสติทช์ มันหนีไปได้ แต่ลีโล่กลับถูกจับแทน สติทช์ซึ่งตระหนักในที่สุดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลีโล่กับนานี่ จึงเกลี้ยกล่อมจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ ให้ร่วมแรงกันช่วยลีโล่ออกมา การไล่ล่าอันดุเดือดทั่วเกาะฮาวายจึงเกิดขึ้น และสติทช์สามารถช่วยลีโล่ออกมาได้สำเร็จ ร้อนถึงสมาชิกสภาหญิง ต้องตัดสินใจออกมาเป็นผู้ควบคุมตัวสติทช์เอง และเกมนี้ดูเหมือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่.. กฎของเกมก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ใครๆ คาดคิด!

ปัญหาและอารมณ์ขันมีอยู่เหลือล้นในสวรรค์! เมื่อเด็กหญิงขี้เหงาชาวฮาวายชื่อ ลีโล่ อธิษฐานกับดวงดาวขอใครซักคนมาเป็นเพื่อน แล้วเอเลี่ยนจอมซนมหากาฬแห่งจักรวาล ตอบรับคำขอของเธอใน Lilo & Stitch แอนิเมชั่นขบขันสดใส เรื่องใหม่ล่าสุดจาก วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สเรื่องนี้ ที่ซึ่งผสมผสานตัวละครอันน่าจดจำ, เรื่องราวที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ กับอารมณ์ขันพิลึกกึกกือ และงานภาพสวยงามเจิดจ้า (เพราะนี่เป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 6 ทศวรรษของทางสตูดิโอที่ใช้สีน้ำ!!!)
หนังเล่าเรื่องราวของหนูน้อยลีโล่ ที่ได้เผชิญหน้าระยะกระชั้น กับเอเลี่ยนทดลองสุดซ่าชื่อ "สติทช์" ซึ่งหนีมาจากดาวแห่งเอเลี่ยน แล้วหล่นลงบนพื้นโลก รูปร่างเล็กจ้อยหน้าตาละม้าย "หมา" ของสติทช์ ทำให้ลีโล่เก็บมันไปเลี้ยงด้วยความรัก ความจริงใจ และความเชื่ออันมั่นคงต่อเรื่อง "โอฮาน่า" ('ohana - ศัพท์ฮาวายหมายถึงครอบครัว) จนสามารถเปิดหัวใจของสติทช์ได้สำเร็จ และมอบสิ่งหนึ่ง ที่มันไม่เคยคาดฝันว่าจะมี นั่นคือ ครอบครัว
ด้วยภาพบ้านเมืองเขตร้อนเขียวชุ่มฉ่ำ, อารมณ์ขันไม่ธรรมดา และเพลงคลาสสิคของ เอลวิส เพรสลี่ย์ ทำให้ Lilo & Stitch เป็นหนังที่จะพาคนดูเข้าสู่การเดินทางอันแสนรื่นรมย์ผ่านห้วงจักรวาลแอนิเมชั่น โดยงานชิ้นนี้นับเป็นหนังเรื่องที่ 2 ที่สร้างกันที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้า (Florida Feature Animation) ของดิสนีย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นสถานที่สร้างผลงานเรื่องดังปี 1998 อย่าง Mulan มาแล้ว
องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความโดดเด่นและความสนุกสนานให้แก่ Lilo & Stitch ก็คือซาวด์แทร็คสุดโจ๋ของ "ราชา" เอลวิส เพรสลี่ย์ ซึ่งเป็นผู้ขับร้องเพลงยอดฮิตทั้ง 6 เพลงที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ รวมถึงเวอร์ชั่นใหม่สุดเร้าใจของอีก 2 เพลงดังของเอลวิสคือ Burning Love ซึ่งขับขานโดยนักร้องคันทรี่ ระดับชิงรางวัลแกรมมี่อย่าง วินอนน่า (Wynonna) และ Can't Help Falling in Love ในช่วงเครดิตท้ายเรื่อง ขับร้องโดย A*Teens วงดนตรีพ็อพสุดดังของสวีเดน กับยังได้คอมโพสเซอร์ชื่อก้องอย่าง อลัน ซิลเวสทรี (เข้าชิงออสการ์จาก Forrest Gump) มาเพิ่มสีสันและความแฟนตาซี ให้แก่เรื่องราวเมามันยากจะคาดเดาของหนังเรื่องนี้ ด้วยดนตรีประกอบของเขา ร่วมกับนักดนตรีฮาวายมือฉมัง มาร์ค คีลี โฮโอมาลู (Mark Keali'i Ho'omalu) ในเพลงฮาวายเอี้ยนอีก 2 เพลง ซึ่งแสดงโดยสมาชิกวงคอรัสจาก Kamehameha School Children's Chorus


Lilo & Stitch เป็นหนังเรื่องที่สอง ที่สร้างกันในแผนกแอนิเมชั่นที่ฟลอริด้าของดิสนีย์ โดยทุกส่วนของงานสร้าง (ยกเว้นการวาดดิจิตอลที่ใช้ระบบ CAPS ซึ่งเคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว) เป็นหน้าที่รับผิดชอบของศิลปิน, แอนิเมเตอร์ และช่างเทคนิค 300 ชีวิตที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้านี้
ผู้รับหน้าที่ดูแล Lilo & Stitch ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงงานสร้างก็คือ ทีมผู้กำกับ/เขียนบท คริส แซนเดอร์ส กับ ดีน เดบลัวส์ โดยแซนเดอร์สเป็นมือเก๋าผู้เก่งกาจ ที่ทำงานกับแผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่น ของดิสนีย์มาตั้งแต่ปี 1987 และเคยทำสตอรี่บอร์ดฉากสำคัญๆ ใน Beauty and the Beast, เป็นโปรดัคชั่นดีไซเนอร์ให้ The Lion King และเป็นหัวหน้าทีมคิดเรื่องของ Mulan มาแล้ว ก่อนจะรับหน้าที่สร้างไอเดียของหนังเรื่องนี้ ส่วนเดอบลัวส์ ซึ่งเคยร่วมงานกับแซนเดอร์ส ในตำแหน่งหัวหน้าร่วมของฝ่ายเรื่องราวใน Mulan ก็สานต่อไอเดีย และนำความสามารถด้านการวางโครงร่างภาพ มาใช้กับโปรเจ็คต์นี้ ทั้งคู่เลือกทำบทให้เป็นสตอรี่บอร์ดด้วยตนเอง แทนที่จะใช้วิธีส่งต่อ ให้เป็นหน้าที่ของแผนกเรื่องราวเหมือนปกติ นั่นทำให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดมุมมองของตน ต่อทีมงาน และกำหนดทิศทาง แก่ทีมแอนิเมเตอร์กับทีมสร้างสรรค์ ได้อย่างชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน
ตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างตกเป็นของ คลาร์ค สเปนเซอร์ ซึ่งทำงานกับดิสนีย์มานาน 12 ปีโดยเริ่มจากงานด้านวางแผนและการเงิน ล่าสุดเป็นรองประธานอาวุโส กับผู้จัดการทั่วไปของวอลท์ ดิสนีย์ฟีเชอร์แอนิเมชั่นฟลอริด้า ลิซ่า พูล รับหน้าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง และ เจฟฟ์ ดัตตันผู้ประสานงานฝ่ายศิลปะ มาใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และการจัดการของเขา ในหน้าที่ดูแลงานสร้าง ให้ได้ผลดีเลิศที่สุดเมื่อปรากฏบนจอ
ผู้รับหน้าที่ถ่ายทอดมุมมองของผู้กำกับ ให้กลายเป็นภาพบนจอก็คือ พอล เฟลิกซ์ โปรดัคชั่นดีไซเนอร์, ริค สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์ และ บ็อบ สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์ โดยภาพวาดแรกเริ่มของแซนเดอร์ส ให้ไอเดียเกี่ยวกับการใช้สีน้ำ และสลูเตอร์ก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า สไตล์ของสื่อชนิดนี้ เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับการใช้จับอารมณ์ชุ่มฉ่ำ ตามธรรมชาติของเกาะฮาวาย พวกเขาร่วมกันทดลองสีน้ำ และค้นพบแนวทางใหม่ๆ ในการทำให้วิธีนี้เหมาะกับตัวหนัง สีน้ำเป็นสื่อที่เคยใช้กันเป็นปกติ ในหนังดิสนีย์ยุคแรกๆ อย่าง Snow White and the Seven Dwarfs, Pinocchio, Dumbo และ Bambi แต่ต่อมานักวาดได้เปลี่ยนมาใช้สีผสมน้ำมัน "gouache" (เป็นวิธีวาดสีทึบ) มากกว่า จนกระทั่งทีมแบ็คกราวด์ของ Lilo & Stitch กลับมารื้อฟื้นศิลปะที่ห่างหายไปแล้วนี้อีกครั้ง และนำมาใช้ในวิธีใหม่ที่น่าตื่นเต้น
นอกเหนือจากทีมที่กล่าวมาแล้ว ซูเปอร์ไวเซอร์คนหลักๆ ของหนังยังได้แก่ อาร์เดน ชาน (เลย์เอาต์), โจ กิลแลนด์ (วิชวลเอฟเฟ็คต์ส), เอริค กวากลิโอน (คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น) และ ฟิลลิป บอยด์ กับ คริสทีน ลอว์เรนซ์-ฟินนีย์ ดูแลด้านคลีน-อัพ (Clean-Up) กิลแลนด์กับกวากลิโอน พบวิธีผสมผสานภาพจากเทคโนโลยี CG (computer generated) และเอฟเฟ็คต์เข้ากับภาพวาดสีน้ำ ส่วนทีมดิจิตอลโปรดัคชั่นและเอฟเฟ็คต์ ทำโมเดลและวาดภาพวัตถุต่างๆ เช่น ยานอวกาศ, ปืนรังสี, กระดานโต้คลื่น, ยานแม่ที่จะปรากฏให้เห็นในฉากเปิดเรื่อง นอกจากนั้น ทีมเอฟเฟ็คต์ยังสร้างภาพใต้น้ำที่น่าทึ่ง และพาคนดูไปพบกับภาพ ที่แม้แต่หนังคนแสดงก็ยังทำไม่ได้นั่นคือ ภาพด้านในของคลื่นยักษ์ กับยังมีเอฟเฟ็คต์น่าตื่นตาอีกมากมายในหนัง ไม่ว่าจะเป็นภาพลาวาไหลทะลัก, ระเบิด และภาพยานอวกาศของสติทช์ที่ถูกขโมยไป แล้วพุ่งด้วยความเร็วสูง เข้าสู่อุโมงค์กาลเวลาอย่างรุนแรง
เนื่องจากเรื่องราวเกิดขึ้นที่ฮาวาย ทีมงานจึงใช้เวลาไปศึกษาความงามตามธรรมชาติอันน่าทึ่ง ของเกาะสวรรค์แห่งนี้ แซนเดอร์ส, เดอบลัวส์, สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์, สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์, แอนเดรียส เดจา แอนิเมเตอร์ และทีมงานอีกหลายคนหอบหิ้วกล้อง, พู่กัน และสมุดสเก็ตช์ แล้วมุ่งหน้าสู่ฮาวายเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อศึกษาทิวทัศน์ที่นั่น โดยใช้เวลาส่วนใหญ่บนเกาะคาวี (Kauai) ซึ่งทีมงานทั้งดำน้ำสน็อกเกิล, สกูบ้า, เล่นเซิร์ฟ และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ อย่าง Hanalei, Hanapepe, หาดนาปาลี, พรินซ์วิลล์ และหาด Ke'e Beach รวมถึงอุทยานแห่งชาติอีกหลายแห่ง เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับใบไม้, พันธุ์พืช, หินลาวา, ทรายสีส้ม, ท้องทะเลสีเทอร์คอยซ์, ภูเขาสีแดงสด และภาพดวงอาทิตย์ตกอันสวยงาม นอกจากนั้น เดจายังไปดูโรงเรียนชนพื้นเมืองฮาวาย ซึ่งเน้นการศึกษาภาษา และวัฒนธรรมประจำเกาะด้วย

มิกกี้ เมาส์


มิกกี้ เมาส์ (อังกฤษMickey Mouse) เป็นตัวละครการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั่วโลก มีลักษณะเป็นหนูสีดำ สวมกางเกงเอี๊ยมสีแดง ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471 โดยวอลต์ ดิสนีย์ และอับ ไอเวิร์กส ให้เสียงโดยวอลต์ ดิสนีย์
จุดกำเนิดของมิกกี้ เมาส์ เกิดขึ้นขณะที่วอลต์ ดิสนีย์ นั่งอยู่บนรถไฟระหว่างทางมุ่งสู่ลอสแอนเจลิส เขาลงมือสเก็ตช์ภาพคาแรกเตอร์หนูเล็ก ๆ สวมกางเกงสีแดง ขึ้นมา โดยมีอับ ไอเวิร์กส ออกแบบรูปร่างลักษณะ การ์ตูนเสียงเรื่องแรก "เรือกลไฟวิลลี่" (Steamboat Willie)[1] เข้าฉายครั้งแรกที่ มอสส์โคโลนี่เธียเตอร์[2] โดยทางนิวยอร์กไทม์เขียนไว้ว่า "เป็นผลงานที่มีความคิดสร้างสรรค์เยี่ยมยอดและสนุก"
บุคลิกของมิกกี้ เมาส์ คือ มองโลกในแง่ดี มีความกระตือรือร้น ถ่อมตัวและเรียบง่าย ซื่อสัตย์ ชอบร้องอุทาน "Gosh" หรือบางครั้งก็ "Oh boy!", "Aw-Gee" ,"Uh-Oh!" ชอบอ่าน Newsweek, time, Life, National Geographic, Good Housekeeping มีหวานใจชื่อว่ามินนี่เมาส์ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั่วโลกเช่นกัน นอกจากนี้มิกกี้เมาส์ยังมีสุนัขสีน้ำตาลแสนรัก ชื่อว่า พลูโตที่เป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ ฉลาดและแสนรู้

                                   


                                                คลับคนรักมิกกี้เมาส์




อาราเล่




โนริมากิ อาราเล่ (ญี่ปุ่น則巻アラレ Norimaki Arare ?) เป็นตัวละครในการ์ตูนเรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ เป็นหุ่นยนต์ที่ดร. เซมเบ้ สร้างขึ้นมา ให้เป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแพนกวิน มีนิสัยร่าเริง และมีพลังอย่างมหาศาล ชื่ออาราเล่ตั้งมาจากชื่อขนมญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายขนมเซมเบะแต่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งเป็นนัยว่าเป็นลูกของ ดร.เซมเบ้ ส่วนคำว่า โนริมากิ แปลว่า "ห่อด้วยสาหร่าย"
เป็นหุ่นยนต์แอนดรอยด์ล้ำยุคที่ ดร.สลัมป์ สร้างขึ้น เนื่องจากสร้างหัวก่อน ทำให้อาราเล่เรียนรู้สิ่งต่างๆจากได้จากทีวีเท่านั้น การจ้องมองทีวีทั้งวันทั้งคืนเลยทำให้อาราเล่สายตาสั้นและต้องสวมแว่นตา[1]และชอบทำตัวรุนแรงเลียนแบบรายการมวยปล้ำในทีวี ความสามารถพิเศษของอาราเล่ คือ พลังอันแข็งแกร่งและวิ่งเร็วเหมือนติดเทอร์โบ
อาราเล่ชอบพูดเป็นประจำเวลาทักทายกับทุกคน ดีจ้า และ คำอุทานของอาราเล่ สุดฮิต คือ "โอ๊ะ โยะ โย๋"
อาราเล่เป็นเด็กมีนิสัยร่าเริง แต่ด้วยเธอที่เป็นหุ่นยนต์นั้น ไม่ว่าเวลาเธอจะทำอะไร มักทำให้หมู่บ้านเพนกวินเดือดร้อนเสมอ ตั้งแต่สัตว์ไปถึงคน อาราเล่ชอบเล่นอุนจิ โดยการเอาไม้ไปจิ้มอุนจิแล้วพูดออกมาว่า "จิ้มๆๆๆ"



                                                  อาราเล่

Ben 10


เบ็นเท็น (Ben 10) เป็นการ์ตูนทีวีแอนิเมชันของประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตโดย Man of Action (เป็นทีมประกอบด้วย Duncan Rouleau, Joe Casey, Joe Kelly และ Steven T. Seagle) สังกัด Cartoon Network Studios เบ็นเท็น ออกอากาศทุกเช้าวันเสาร์ 10 นาฬิกาในประเทศสหรัฐอเมริกา[1] และในประเทศไทยฉายวันจันทร์ถึงวันศุกร์ในช่วงทูนามิ เวลา 18:00 น. ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 และเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ถึงพฤหัสเวลาเดิม (เหตุเพราะวันศุกร์มีการฉายศุกร์หรรษา) ในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2550 ทางช่องการ์ตูนเน็ทเวิร์ค ทรูวิชั่นส์ช่อง 29 สำหรับระบบอนาล็อก และช่อง 52 สำหรับระบบดิจิตอล ปัจจุบันได้ฉายจนจบเรื่องไปแล้ว แต่ก็มีการฉายซ้ำอยู่ในช่วงเวลาต่างๆ


เรื่องราวของเบ็นเท็น เริ่มจากตัวเอกของเรื่อง เบ็นจามิน "เบ็น" เท็นนีย์สัน ขณะกำลังหยุดฤดูร้อนกลางป่า เขาได้บังเอิญไปเจอกับดาวตก ซึ่งเมื่อเขาเข้าไปดูก็พบว่ามันเป็นกระสวยจากอวกาศที่ตกลงมาบนโลก ข้างในนั้นบรรจุออมนิทริกซ์ ซึ่งเป็นกำไลข้อมือที่จู่ๆก็กระโดดเข้ามาติดแขนของเขาแบบไม่ยอมปล่อย ซึ่งออมนิทริกซ์นั้นมีพลังให้เบ็นสามารถเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้ถึง 10 แบบ (และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอนาคต จนถึง 10,000 แบบ) ซึ่งแต่ละร่างจะมีลักษณะและพลังที่ต่างกันออกไป เบ็นได้ตัดสินใจใช้พลังที่เขาได้รับนี้ในการปกป้องผู้คนจากเหล่าร้ายมากหน้าหลายตา ตั้งแต่สัตวแพทย์สติเฟื่อง, จอมเวทย์ จนไปถึงผู้ควบคุมแมลง หรือเหล่ามนุษย์ต่างดาวในอวกาศที่มาวุ่นวายบนโลก ในขณะเดียวกันก็มีมนุษย์ต่างดาวนามวิวแก็กซ์วางแผนจะชิงออมนิทริกซ์เช่นกัน เบ็นจึงต้องปกป้องโลกทั้งจากวายร้ายบนโลกและวายร้ายจากนอกโลก


โคนัน

ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน (ญี่ปุ่น名探偵コナン Meitantei Conan ?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องยาวแนวสืบสวนสอบสวน เรื่องและภาพโดยอาโอยาม่า โกโช โคนันถูกตีพิมพ์ในหลายภาษา นอกจากภาษาญี่ปุ่นต้นฉบับแล้ว ยังมีภาษาจีน, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, ไทย ฯลฯ นอกจากนี้ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ยังได้มีการนำมาทำเป็นการ์ตูนโทรทัศน์ และ การ์ตูนภาพยนตร์ หรือ แอนิเมชันอีกด้วย

เนื้อเรื่องนักเรียนมัธยมปลายวัย 17 ปีคนหนึ่ง ชื่อคุโด้ ชินอิจิ มีทักษะพิเศษในการไขคดีจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น จนได้รับขนานนามว่า เชอร์ล็อก โฮล์มส์แห่งยุคเฮเซ วันหนึ่งเขาได้ไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่อ โมริ รัน ที่สวนสนุกทรอปิคอลแลนด์ และได้ไขคดีการฆาตกรรมบนรถไฟเหาะ ระหว่างทางกลับบ้าน ชินอิจิได้ไปเห็นชายสวมชุดดำ วอดก้ากำลังเจรจาแลกของต้องสงสัย แต่หารู้ไม่ว่ามีชายชุดดำอีกคน ยิน แอบอยู่ด้านหลังอยู่ ชินอิจิจึงถูกตีหัวและถูกจับกรอกยาพิษที่องค์กรของพวกเขาสร้างขึ้น นั่นก็คือยา APTX4869 ที่จะทำให้ผู้รับยาเสียชีวิตโดยไม่มีร่องรอยของยาพิษหลงเหลืออยู่เลย แต่ยากลับผิดพลาดเนื่องจากยังอยู่ในขั้นทดลอง จึงไม่ทำให้ชินอิจิเสียชีวิต แต่กลับทำให้ร่างกายหดเล็กลงกลายเป็นเด็กแทน และเพื่อจะสืบหาความจริงว่าคนพวกนั้นเป็นใคร และหายาแก้พิษเพื่อที่จะกลับคืนร่างเดิมอีกครั้ง ชินอิจิจึงกลับไปที่บ้านและไปปรึกษากับดร.อากาสะ ฮิโรชิ

เนื่องจากพ่อและแม่ของชินอิจิไปทำงานถาวรอยู่ต่างประเทศ ชินอิจิในร่างเด็กจึงไปปรึกษาดร.อากาสะ ฮิโรชิ นักวิทยาศาสตร์ที่อาศัยอยู่ใกล้บ้านของชินอิจิ หลังจากที่รันกลับจากสวนสนุกทรอปิคอลแลนด์ ก็รีบมาหาชินอิจิที่บ้าน แต่ได้พบกับชินอิจิในร่างเด็กกับดร.อากาสะในห้องหนังสือ เมื่อรันถามชื่อชินอิจิ ชินอิจิจึงตอบไปว่า เอโดงาวะ โคนัน ซึ่งนำมาจากชื่อนักเขียนบนสันหนังสือข้างหลัง นั่นคือ เอโดงาวะ รัมโป และ อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ ดร.อากาสะจึงแนะนำให้ชินอิจิไปอาศัยอยู่ที่สำนักงานนักสืบโมริ สำนักงานของโมริ โคโกโร่ พ่อของรันนั่นเอง เผื่อว่าจะมีข่าวคราวใดเกี่ยวกับพวกชายชุดดำ ที่พ่อของรันที่มีอาชีพเป็นนักสืบ โดยที่ไม่บอกความจริงกับใครว่าตนคือคุโด้ ชินอิจิ
เพื่อต้องการหาข่าวคราวของพวกชายชุดดำ โคนันจึงต้องให้โคโกโร่มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งจะทำให้มีผู้จ้างวานไปสืบคดีมากขึ้น และจะทำให้มีโอกาสที่จะได้เบาะแสขององค์กรชุดดำมากขึ้นเช่นกัน โดยใช้อุปกรณ์หลักๆ 2 อย่างคือ นาฬิกายิงยาสลบ ยิงให้โคโกโร่สลบ และ หูกระต่ายเปลี่ยนเสียง เพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นเสียงโคโกโร่แล้วคลี่คลายคดีแทน จึงทำให้เกิดฉายาว่า โคโกโร่นิทรา ขึ้นเพราะเวลาคลี่คลายคดีจะเหมือนกำลังนอนหลับอยู่นั่นเอง
ชินอิจิเมื่ออยู่ในร่างของเด็กจึงต้องกลับไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนประถมเทตันใหม่อีกครั้ง และได้รู้จักกับ โยชิดะ อายูมิซึบุรายะ มิซึฮิโกะ, และโคจิมะ เก็นตะเพื่อนร่วมชั้นแล้วได้ก่อตั้งขบวนการนักสืบเยาวชนขึ้นมา
การสืบหาองค์กรชุดดำและยาแก้พิษของโคนันก็ได้ดำเรื่อยมา ได้เกิดคดีต่างๆ และค้นพบบุคคลสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพวกชายชุดดำ หรือองค์กรชุดดำมากขึ้น ไฮบาระ ไอหรือ มิยาโนะ ชิโฮ ผู้ประดิษฐ์คิดค้นยา APTX4869 เธอได้ทรยศองค์กร เพราะว่ายิน ได้สังหารพี่สาวของเธอ มิยาโนะ อาเคมิโดยไม่ให้คำอธิบายต่อเธอ เธอจึงถูกควบคุมตัวแล้วขังในห้องก๊าซเพื่อรอคำสั่งประหารชีวิตเท่านั้น เธอคิดว่ายังไรก็คงตายจึงกรอกยาที่เธอประดิษฐ์ขึ้น APTX4869 แล้วกลับเป็นเด็กแล้วออกมาจากช่องทิ้งขยะในห้องขัง แล้วได้มาอยู่บ้านของดร.อากาสะ เพื่อคิดค้นยาถอนพิษของ APTX4869
โคนันได้ทำความรู้จักกับเหล่า FBI ที่มาที่ญี่ปุ่นด้วยจุดประสงค์เดียวกัน โคนันจึงได้ร่วมมือกับ FBI ในการสืบสวนแล้วจับหนึ่งในสมาชิกขององค์กรชุดดำได้คือ มิซึนาชิ เรย์นะ แต่เธอกลับเป็นสายลับของ CIA ที่มาที่ญี่ปุ่นด้วยจุดประสงค์เช่นเดียวกัน เธอจึงกลับเข้าไปในองค์กรเพื่อหาวิธีในการจับกุม

                                                   โคนัน 

ซินเดอเรลล่า


ซินเดอเรลล่า (อังกฤษCinderellaฝรั่งเศสCendrillon) เป็นเทพนิยายปรัมปราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั่วทั้งโลก มีการดัดแปลงเป็นรูปแบบต่างๆ มากมายกว่าพันครั้ง[1] เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งที่อยู่ในอุปถัมภ์ของแม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาส ต่อภายหลังจึงได้พบรักกับเจ้าเมืองหรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ตำนานซินเดอเรลล่ามีปรากฏในเทพนิยายหรือนิทานพื้นบ้านประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกโดยมีชื่อของตัวเอกแตกต่างกันออกไป ทว่าฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ลส แปร์โรลต์ ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งอิงมาจากวรรณกรรมของ จิอัมบัตติสตา เบซิล เรื่อง La Gatta Cenerentola ในปี ค.ศ. 1634 ในเรื่องนี้ตัวเอกมีชื่อว่า เอลลา (Ella) แต่แม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายของเธอพากันเรียกเธอว่า ซินเดอเรลล่า (Cinderella) อันหมายถึง "เอลลาผู้มอมแมม" ซึ่งกลายเป็นชื่อเรียกเทพนิยายในโครงเรื่องนี้โดยทั่วไป
ซินเดอเรลล่า ได้รับการโหวตจากเด็กๆ กว่า 1,200 คนจากการสำรวจโดย cinema chain UCI เป็นเทพนิยายยอดนิยมอันดับหนึ่งในดวงใจ เมื่อปี ค.ศ. 2004[2] ผลสำรวจจาก google trend เมื่อปีค.ศ. 2008 ก็พบว่า ซินเดอเรลล่า เป็นเทพนิยายที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงมากที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต[3]

ประวัติ

โครงเรื่องของซินเดอเรลล่าน่าจะมีกำเนิดมาแต่ยุคสมัยคลาสสิก นักประวัติศาสตร์กรีกชื่อ สตราโบ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ จีโอกราฟิกา เล่ม 17 ตั้งแต่ราวหนึ่งร้อยปีก่อนคริสตกาล ถึงเรื่องราวของเด็กสาวลูกครึ่งกรีก-อียิปต์ผู้หนึ่งชื่อ โรโดพิส (Rhodopis) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเนื้อเรื่องที่เก่าแก่ที่สุดของซินเดอเรลล่า[4] โรโดพิส (ชื่อมีความหมายว่า "แก้มกุหลาบ") ต้องอยู่ซักเสื้อผ้ามากมายขณะที่เหล่าเพื่อนหญิงรับใช้พากันไปเที่ยวงานเต้นรำซึ่งฟาโรห์อามาซิสทรงจัดขึ้น นกอินทรีย์นำรองเท้าของเธอที่ประดับกุหลาบไปทิ้งไว้ที่เบื้องบาทของฟาโรห์ในนครเมมฟิส พระองค์ตรัสให้สตรีในราชอาณาจักรทดลองสวมรองเท้านี้ทุกคนเพื่อหาผู้สวมได้พอเหมาะ โรโดพิสสวมได้พอดี ฟาโรห์ตกหลุมรักเธอและได้อภิเษกสมรสกับเธอ ต่อมาเนื้อเรื่องนี้ปรากฏอีกครั้งในงานเขียนของเคลาดิอุส ไอเลียนุส (Claudius Aelianus)[5] แสดงให้เห็นว่าโครงเรื่องซินเดอเรลล่าเป็นที่นิยมมาตลอดยุคคลาสสิก บางทีจุดกำเนิดของตัวละครอาจสืบย้อนไปได้ถึงช่วง 600 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งมีสตรีในราชสำนักเธรซคนหนึ่งใช้ชื่อเดียวกันนี้ และเป็นผู้รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีกับ อีสป นักเล่านิทานยุคโบราณ

                                   ซินเดอเรลล่า




ชินจังจอมแก่น


ชินจังจอมแก่น (ญี่ปุ่นクレヨンしんちゃん Kureyon Shinchan ?) (อังกฤษCrayon Shin-chan) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องและภาพโดยโยชิโตะ อุสึอิ ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นโดยสำนักพิมพ์ Futabasha ในประเทศไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ และได้รับการสร้างเป็นแอนิเมชัน ในปีพ.ศ. 2535
ชินจังจอมแก่น เป็นการ์ตูนแนวตลกขบขันเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ชินจังเป็นการ์ตูนที่มีลายเส้นง่ายๆ เป็นการ์ตูนยอดฮิตทุกประเทศ

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชินจัง (โนะฮาร่า ชิโนสึเกะ; Nohara Shinosuke) เด็กอนุบาลวัย 5 ขวบสุดแก่น มีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อ (ฮิโรชิ) เช่น ชอบผู้หญิงหุ่นดีหน้าตาดี และยังชอบอาบน้ำกับพ่อมาก . แม่ของชินจัง (มิซาเอะ) มีนิสัยขี้เหนียวและขี้อ่อนแอ แต่โมโหง่ายและน่ากลัว.ชินจังมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อฮิมาวาริ. ครอบครัวของชินจังเลี้ยงหมาหนึ่งตัว ชื่อเจ้าขาว (ชิโร่). เพื่อน ๆ ของชินจังที่พบในเรื่องบ่อย ๆ คือ คาซาม่าคุง, เนเน่จัง, มาซาโอะคุง, และ โบจัง ชินจังมักมีท่าแปลกๆ เช่น ท่ามนุษย์ต่างดาวนู้ดครึ่งก้น ท่าที่เอากางเกงในมาครอบหัว โดยทำเหมือนกับว่ามันเป็นหน้ากาก ชินจังชอบดูการ์ตูนหน้ากากแอ็คชั่น เป็นคนที่ชื่นชอบ และชื่นชมในตัวหน้ากากแอ็คชั่นมาก มีขนมโปรดคือ ช็อกโกบิ การละเล่นของชินจังที่โรงเรียนคือ เล่นเป็นยุง เล่นเป็นอึ เล่นซ่อนแอบแบบไม่มีคนหา เล่นแกล้งตายบนหิมะ เล่นพ่อ แม่ ลูก (เมื่อถูกเนเน่จังบังคับ) สูง105.9 หนัก22.8


                                                เพลง ชินจังจอมแก่น เวอร์ชั่นไทย



                                                          ชุมชนคนรักชินจัง